logo

ขอเชิญร่วมตอบแบบสอบถามเรื่อง “ต้นทุนต่อหน่วยบริการ ภายใต้โครงการวิจัยเรื่อง การประเมินผลเชิงพัฒนานโยบาย 30 บาท รักษาทุกที่ด้วยบัตรประชาชนใบเดียว ในพื้นที่นําร่อง”

ต้องการข้อมูลเพิ่มเติม ติดต่อฝ่ายสื่อสารองค์กร HITAP
งานวิจัยเพื่อพัฒนาก้าวต่อไปของระบบการแพทย์ทางไกล (telemedicine) ของไทย

ตุลาคม 2566, HITAP จัดการประชุมผู้เชี่ยวชาญเพื่อนำเสนอข้อค้นพบและข้อเสนอแนะเชิงนโยบายจากโครงการวิจัยเรื่อง “การจัดทำข้อเสนอแนะเพื่อสนับสนุนการพัฒนาแนวปฏิบัติและแนวทางการติดตามประเมินผลของระบบการแพทย์ทางไกลผ่านการถอดบทเรียนในบริบทไทยและบริบทโลก” ซึ่งศึกษาเกี่ยวกับระบบการแพทย์ทางไกล หรือ telemedicine รวมถึงการแพทย์ดิจิทัล หรือ digital health ซึ่งเป็นกระแสและมีการใช้งานอย่างแพร่หลายในช่วงการระบาดของโควิด-19 และจะเป็นกระแสหลักของระบบสุขภาพในอนาคตของประเทศไทยและทั่วโลกต่อไป และประเทศไทยต้องเตรียมความพร้อมเพื่อให้มีการใช้ระบบและกลไกเหล่านี้อย่างมีประสิทธิภาพ

การประชุมครั้งนี้มี นพ โสภณ เมฆธน ประธานคณะอนุกรรมการกำกับทิศทาง แผนงาน Convergence of Digital Health Platforms and Health Information Systems (HIS) Implementation in Thailand (ConvergeDH) เป็นประธาน และมีผู้มีส่วนได้ส่วนเสียเข้าร่วมจากหลายภาคส่วน ทั้งกรมที่เกี่ยวข้องในกระทรวงสาธารณสุข สปสช. สภาวิชาชีพ โรงเรียนแพทย์ ภาคเอกชนผู้พัฒนาแอปพลิเคชัน และองค์กรพัฒนาเอกชน ในการนี้ ภญ.นิธิเจน กิตติรัชกุล นักวิจัย และ น.ส.วิลาวรรณ ล้วนคงสมจิตร ผู้ช่วยนักวิจัย จาก โครงการประเมินเทคโนโลยีและนโยบายด้านสุขภาพ (HITAP) นำเสนอผลการวิจัย ซึ่งชี้ให้เห็นว่าโรงพยาบาลหลายแห่งได้จัดบริการการแพทย์ทางไกลหรือ telemedicine สำหรับผู้ป่วยกลุ่มต่าง ๆ เพื่อตอบสนองนโยบายของกระทรวงสาธารณสุขในช่วงการระบาดของโควิด-19 เป็นต้นมา ถึงแม้การระบาดของโควิด-19 จะหมดไป โรงพยาบาลก็พบว่าสามารถใช้ประโยชน์จากการลงทุนและโครงสร้างพื้นฐานที่เกิดขึ้นในการจัดบริการเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ป่วยเฉพาะได้ดี เช่น การแจ้งผลการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก ทำให้ผู้ป่วยไม่ต้องเดินทางมาเพื่อฟังผลการตรวจด้วยตนเอง และสามารถซักถามแพทย์ได้ละเอียดกว่าการฟังผลทางไปรษณีย์เท่านั้น โดยผู้รับบริการมีทุกเพศทุกวัย แต่ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มอายุ 40-50 ปี ในกลุ่มอายุน้อยมักเป็นเพศชายมากว่าเพศหญิง แต่ในกลุ่มอายุสูงขึ้นจะเป็นเพศหญิงมากกว่าเพศชาย

นอกจากนี้ ที่ประชุมยังได้แบ่งปันบทเรียนในต่างประเทศ คือ สิงคโปร์และอินเดีย ที่พัฒนาระบบการแพทย์ทางไกลก่อนประเทศไทย ผู้เชี่ยวชาญจากสองประเทศนี้เน้นย้ำให้คำนึงถึงประเด็นการสร้างระบบนัดหมาย และการออกแบบระบบให้ใช้งานได้ง่าย สะดวก ไม่ซับซ้อน ทั้งสำหรับแพทย์และผู้ป่วย การเชื่อมต่อระบบให้เชื่อมต่อข้อมูลกันได้สำหรับหน่วยต่าง ๆ ในโรงพยาบาลเดียวกัน เช่น ผลตรวจ ยา ฯลฯ การเชื่อมต่อระหว่างสถานพยาบาล และระหว่างสถานพยาบาลกับระบบประกันสุขภาพในการจ่ายเงินสนับสนุนการให้บริการ

ทั้งนี้ ที่ประชุมเห็นว่ากฎหมายเพื่อคุ้มครองผู้ให้บริการและผู้รับบริการ ยังเป็นส่วนที่ประเทศไทยยังล้าหลังอยู่มากเมื่อเทียบกับความก้าวหน้าของผู้ให้บริการ ผู้รับบริการ และความก้าวหน้าในต่างประเทศ นับเป็นเรื่องเร่งด่วนของผู้เกี่ยวข้องในการพิจารณากฎหมายสำคัญที่ใช้ในต่างประเทศมาปรับปรุงให้เหมาะสมและนำมาใช้ในประเทศไทย และผู้เข้าร่วมประชุมต่างเห็นพ้องว่าภาครัฐควรมีบทบาทสนับสนุนให้เกิดนวัตกรรมที่หลากหลายในเรื่องนี้ เช่น โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพระดับตำบล (รพ.สต.) ให้บริการการแพทย์ทางไกลผ่านการสนับสนุนของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) ในพื้นที่ชนบทที่ประชาชนยังมีข้อจำกัดในการใช้อุปกรณ์ไอที ขณะที่เขตเมืองมีการจัดบริการให้ผู้ป่วยสามารถปรึกษากับแพทย์ได้โดยตรง

 

เกี่ยวกับ โครงการวิจัย “การจัดทำข้อเสนอแนะเพื่อสนับสนุนการพัฒนาแนวปฏิบัติและแนวทางการติดตามประเมินผลของระบบการแพทย์ทางไกล ผ่านการถอดบทเรียนในบริบทไทยและบริบทโลก”

ประเทศไทยและองค์การอนามัยโลกได้จัดทำยุทธศาสตร์ความร่วมมือระหว่างรัฐบาลไทยและองค์การอนามัยโลก (WHO Country Cooperation Strategy: WHO-CCS) สำหรับปี พ.ศ. 2565-2569 เพื่อกำหนดทิศทางการทำงานร่วมกัน และได้จัดตั้งคณะอนุกรรมการกำกับทิศแผนงาน Convergence of Digital Health Platforms and Health Information Systems (HIS) Implementation in Thailand (ConvergeDH) โดยได้รับความร่วมมือจากหลายภาคส่วน เช่น สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) กระทรวงสาธารณสุข (Ministry of Public Health (MOPH)) Government Big Data Institute (GBDI) สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (สพธอ.) มูลนิธิสาธารณสุขแห่งชาติ (มสช.) และ HITAP การดำเนินงานภายใต้ยุทธศาสตร์ดังกล่าวมุ่งเน้นใน 4 แผนงานหลัก ดังนี้ แผนงานที่ 1: Landscape analysis ของ Digital Health และ HIS 2) แผนงานที่ 2: การจัดทำมาตรฐานข้อมูลเพื่อการแลกเปลี่ยนข้อมูล (standards and interoperability) แผนงานที่ 3: การสำรวจและศึกษาเรื่อง Open Data Policy และแผนงานที่ 4: การสำรวจและศึกษาเรื่องโรงพยาบาลบนโลกออนไลน์ (virtual hospitals) และการแพทย์ทางไกล (telemedicine) ในประเทศไทย

สำหรับการประชุมผู้เชี่ยวชาญและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียเพื่อพิจารณาผลการศึกษาและข้อเสนอแนะเชิงนโยบายฯ ในครั้งนี้ เป็นส่วนหนึ่งของโครงการวิจัยภายใต้แผนงานที่ 4 ของโครงการ WHO-CCS และได้รับเงินทุนสนับสนุนจากสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.)

31 ตุลาคม 2566

Next post > ขอเชิญร่วมตอบแบบสำรวจเพื่อระบุระดับการหลีกเลี่ยงความไม่เสมอภาค (Health Inequity Aversion) ในการเข้ารับบริการทางสุขภาพของประชาชนทั่วไปในประเทศไทย

< Previous post ขอเชิญร่วมงาน "Keep it real with Real-World Evidence (RWE) บทบาทของ RWE ในระบบบริการสุขภาพ" วันที่ 20 พ.ย. 66 ณ โรงแรมเดอะ เวสทิน แกรนด์ สุขุมวิท กรุงเทพฯ

Related Posts