logo


ต้องการข้อมูลเพิ่มเติม ติดต่อฝ่ายสื่อสารองค์กร HITAP
[Press Release] HITAP ถอดบทเรียนนโยบายอยู่กับโควิด-19 ผ่อนคลายมาตรการแล้วเป็นอย่างไร

โครงการประเมินเทคโนโลยีและนโยบายด้านสุขภาพ (HITAP) เผยผลการถอดบทเรียนข้อมูลนโยบายอยู่กับโควิด-19 จากทั่วโลก ซึ่งประเทศไทยสามารถเรียนรู้เพื่อชั่งน้ำหนักและใช้ประกอบการกำหนดนโยบายที่เกี่ยวข้องกับโควิด-19 ในอนาคต จากข้อมูล พบว่าขณะนี้หลายประเทศผ่อนคลายจนถึงยกเลิกมาตรการต่าง ๆ เกี่ยวข้องกับโควิด-19 ทั้งหมด ซึ่งมีทั้งผลดีและผลเสีย หากมีการผ่อนคลายมาตรการคัดกรองก็จำเป็นต้องเพิ่มมาตรการเฝ้าระวัง พร้อมกันนั้นยังต้องให้ความสำคัญกับการสื่อสารถึงความจำเป็นของการรับวัคซีนรวมถึงการเตรียมความพร้อมระบบสุขภาพเพื่อรับมือกับโรคติดต่อที่ไม่ได้มาจากโควิด-19 ด้วย

ผลการวิเคราะห์ข้อมูลของ HITAP พบว่า หลายประเทศเริ่มยกเลิกมาตรการป้องกัน คัดกรองและรักษาโควิด-19 แล้ว แม้ว่าจะยังไม่มีหลักฐานที่เชื่อได้ว่าการระบาดของโควิด-19 กำลังยุติลง โดยในจำนวน 80 ประเทศที่นำข้อมูลมาวิเคราะห์ มี 39 ประเทศหรือราวครึ่งหนึ่ง ไม่บังคับเว้นระยะห่างทางสังคมหรือสวมหน้ากากอนามัย มี 18 ประเทศหรือราว 1 ใน 5 ไม่มีนโยบายการตรวจหาการติดเชื้อโควิด-19 โดยส่วนใหญ่อยู่ในยุโรป บางประเทศในแอฟริกาและอินเดีย มี 7 ประเทศ ไม่มีนโยบายป้องกันโรคโควิด-19 รวมทั้งการตรวจหาการติดเชื้อโควิด-19 และไม่กักผู้ติดเชื้ออีกต่อไป ได้แก่ เดนมาร์ก, เยอรมนี, กรีนแลนด์, นอร์เวย์, โปแลนด์, สวีเดนและสหราชอาณาจักร มี 3 ประเทศในเอเชีย ไม่มีนโยบายการตรวจโควิด-19 แล้วแต่ยังคงกักตัวหากพบว่าติดเชื้อ ได้แก่ อินเดีย, สิงคโปร์และมัลดีฟส์ ประเทศที่ยกเลิกมาตรการไปแล้วส่วนใหญ่อยู่ในทวีปยุโรป ซึ่งเคยเกิดการระบาดใหญ่มาก่อน รวมถึงได้รับวัคซีนก่อนพื้นที่อื่น ๆ มีอัตราการรับวัคซีนสูงโดยเฉพาะในผู้สูงอายุ และได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจมากรวมทั้งไม่สามารถแบกรับภาระค่าตรวจคัดกรองและกักตัวเมื่อติดเชื้อโควิด-19 ได้

ทั้งนี้ ประเทศส่วนใหญ่เริ่มผ่อนคลายมาตรการเว้นระยะห่างทางสังคมและยกเลิกการสวมหน้ากากอนามัยในที่แจ้ง การผ่อนคลายนโยบายมักทำเป็นชุด เว้นระยะห่างกันประมาณ 2 – 8 สัปดาห์เพื่อประเมินผลกระทบก่อนที่จะเริ่มนโยบายผ่อนคลายชุดใหม่ ประเทศในเอเชียส่วนใหญ่ไม่ยกเลิกมาตรการสวมหน้ากากอนามัย ซึ่งแตกต่างจากประเทศในทวีปอื่น ๆ ที่มักยกเลิกมาตรการนี้ก่อน

ในส่วนของผลลัพธ์หลังจากการยกเลิกมาตรการต่าง ๆ ในหลายประเทศ งานวิจัยพบข้อดี – ข้อเสียดังต่อไปนี้

ข้อดี 1. กิจกรรมทางสังคมและเศรษฐกิจกลับมาอย่างเต็มที่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกิจกรรมทางเศรษฐกิจในเขตเมืองหรือเขตอุตสาหกรรม 2. ลดภาระระบบสุขภาพในการคัดกรองและรักษาผู้ป่วยที่ไม่มีอาการหรือมีอาการน้อย 3. ลดค่าใช้จ่ายในการคัดกรองและรักษาที่ไม่จำเป็น หลายประเทศเลิกอุดหนุนค่าตรวจและค่าชดเชยการกักตัว 4. ลดความไม่เสมอภาคสำหรับประชาชนในประเทศ เมื่อเปรียบเทียบกับนักธุรกิจและนักท่องเที่ยวต่างชาติที่สามารถเดินทางเข้าประเทศได้จนเกือบไม่ต้องตรวจคัดกรองหรือกักตัวอีกต่อไป

ข้อเสีย 1. อัตราการยอมรับวัคซีนลดลง เนื่องจากความมั่นใจว่าโรคโควิด-19 มีความรุนแรงน้อยลง บางประเทศจึงมีนโยบายเสริมเพื่อให้ประชาชนมีแรงจูงใจในการรับวัคซีน เช่น ประเทศสิงคโปร์ให้กักตัว 7 วันหากพบการติดเชื้อในคนที่รับวัคซีนครบหรือกักตัว 14 วันในคนที่ไม่ได้รับวัคซีน 2. เกิดความต้องการบริการสุขภาพมากขึ้น จากการระบาดของโรคทางเดินหายใจและทางเดินอาหารจากสาเหตุอื่นที่ไม่ใช่โควิด-19 โดยเฉพาะในเด็กเล็ก และจากผู้ป่วยในโรคที่ไม่เร่งด่วนและถูกเลื่อนบริการออกมาเพราะโควิด-19 3. ขาดข้อมูลการติดเชื้อในประเทศ เพราะหลายประเทศยกเลิกการตรวจหาการติดเชื้อและการเฝ้าระวังในชุมชน ทำให้อาจเกิดการระบาดใหญ่โดยไม่มีสัญญาณเตือนได้

ผลสรุปจากข้อมูลทั้งหมดทีมวิจัยได้จัดทำเป็นข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย 4 ข้อได้แก่ 1. หากประเทศไทยจะผ่อนคลายมาตรการควรทำอย่างมีกลยุทธ์ โดยผ่อนคลายมาตรการเป็นช่วง ๆ มีระยะเวลาที่ประเมินผลกระทบเชิงลบได้ และอาจพิจารณาเริ่มเป็นบางพื้นที่ซึ่งมีอัตราการรับวัคซีนสูงในกลุ่มเสี่ยง เช่น พื้นที่ที่ประชากรกลุ่มเสี่ยงได้รับวัคซีนมากกว่าร้อยละ 90 เป็นต้น 2. ประเทศไทยอาจไม่มีความจำเป็นเร่งด่วนในการยกเลิกการสวมหน้ากากอนามัย เพราะมาตรการดังกล่าวไม่ส่งผลกระทบด้านเศรษฐกิจของประเทศ ขณะที่มาตรการนี้ช่วยป้องกันโรคโควิด-19 และโรคติดต่ออื่น ๆ ได้ 3. หากมีการยกเลิกมาตรการคัดกรองการติดเชื้อโควิด-19 กระทรวงสาธารณสุขจำเป็นต้องเพิ่มระดับของการเฝ้าระวังการระบาดในระดับประชากรและการเฝ้าระวังเชื้อโรคโควิด-19 สายพันธุ์ใหม่ เพื่อให้มีข้อมูลที่เป็นสัญญาณเตือนภัยล่วงหน้าหากมีการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 สายพันธุ์ใหม่ 4. ให้ความสำคัญกับการสื่อสารและหามาตรการเสริม ที่ทำให้ประชาชนยังตระหนักถึงความจำเป็นของการรับวัคซีนโควิด-19 5. เตรียมความพร้อมของระบบสุขภาพที่ต้องรับมือกับโรคติดต่อที่ไม่ใด้เกิดจากโควิด-19 หลังจากผ่อนปรนมาตรการโควิด-19 และความต้องการบริการสุขภาพจากผู้ป่วยโรคอื่น ๆ

ข้อมูลนี้เป็นส่วนหนึ่งของ โครงการวิจัยเพื่อจัดทำชุดข้อเสนอเชิงนโยบายและขับเคลื่อนระบบสาธารณสุขยุคใหม่ภายหลังการระบาดของโรคโควิด-19 (Post Covid Health System) สนับสนุนโดย สำนักงานบริหารการวิจัยและนวัตกรรมสาธารณาสุข (สบวส.) สำนักวิชาการสาธารณสุข กระทรวงสาธารณสุข ในการศึกษานี้ใช้การทบทวนวรรณกรรมจากฐานข้อมูลของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจากหลายประเทศทั่วโลกแล้วนำมาสังเคราะห์เพื่อตอบคำถามผู้กำหนดนโยบายภายใต้คณะกรรมการประมวลสถานการณ์ COVID-19 กระทรวงสาธารณสุข (MOPH Intelligence Unit หรือ MIU)

 

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมของข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย Policy Brief: ฉบับที่ 120: ถอดบทเรียนนโยบายอยู่กับโควิด-19 จากประเทศทั่วโลก ประเทศไทยควรทำอย่างไร ได้ที่นี่คลิก https://www.hitap.net/documents/183368

 

18 เมษายน 2565

Next post > ขอเชิญร่วมเสนอ "หัวข้องานวิจัย" เพื่อพัฒนาหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าของประเทศไทย (ปิดรับการเสนอหัวข้อแล้ว)

< Previous post HITAP โดย ทีมงานโครงการพัฒนาชุดสิทธิประโยชน์ จัดประชุมคัดเลือกหัวข้อปัญหา ของกลุ่มผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์ เพื่อเข้าสู่กระบวนการพัฒนาชุดสิทธิประโยชน์ปี 2565

Related Posts