ต้องการข้อมูลเพิ่มเติม ติดต่อฝ่ายสื่อสารองค์กร HITAP
หนังสือพิมพ์: กรุงเทพธุรกิจ
ฉบับวันที่: 15 พฤษภาคม 2018
คอลัมน์ อาหารสมอง
ผู้เขียน: ดร.วรากรณ์ สามโกเศศ
“บัตรทอง 30 บาท” “บัตร 30 บาทรักษาทุกโรค “บัตรประกันสุขภาพถ้วนหน้า” หรือ “Universel Health Care (UHC)” คือสิ่งเดียวกันทั้งหมดในการให้บริการสาธารณสุขโดยรัฐ แก่ประชาชนไทยอย่างฟรีถ้วนหน้า (ปัจจุบัน ไม่ต้องจ่ายแม้แต่ 30 บาท) ความคิดนี้กำลังได้รับความสนใจในระดับโลก เฉกเช่นเดียวกับการศึกษา ฟรีนิตยสาร “The Economist” ฉบับเมื่อเร็วๆ นี้ชมประเทศไทยว่ารัฐบาลจ่ายเงินค่ารักษาพยาบาลเพียงปีละ 220 ดอลลาร์ (6,800 บาทต่อคนต่อปี แต่ได้ผลลัพธ์ในระดับ เทียบเคียงกับกลุ่มประเทศ OECD (กลุ่มประเทศพัฒนาแล้วที่มีสมาชิก 35 ประเทศ)
ในงานสัมมนาประจำปีของกลุ่มประเมินเทคโนโลยีและนโยบายด้านสุขภาพในประเทศต่างๆ ที่ จ.เชียงใหม่ ระหว่างวันที่ 8 – 10 พ.ค.ที่ผ่านมา ที่มีชื่อว่า HTAsiaLink 2018 โดยโครงการประเมินเทคโนโลยีและนโยบายด้านสุขภาพ (HITAP) ของมูลนิธิในสังกัดกระทรวงสาธารณสุขไทยเป็นเจ้าภาพ ผู้เข้าร่วม สัมมนาเสนอหลากหลายผลงานวิจัยเพื่อหาคำตอบเกี่ยวกับการจัดลำดับความสำคัญของการใช้ทรัพยากรเพื่อ UHC ในประเทศต่างๆ ทุกประเทศไม่ว่ารวยหรือจนล้วนมี ทรัพยากรจำกัดในการรักษาพยาบาลประชาชนด้วยกันทั้งสิ้น โดยเฉพาะในเรื่อง UHC ซึ่งเป็นการรักษาพยาบาลฟรี การค้นหาความจริง เกี่ยวกับประสิทธิภาพของเทคโนโลยีทางการ แพทย์ ยา วิธีการรักษา ฯลฯ จึงเป็นเรื่องสำคัญ ยิ่งเพราะนำไปสู่การขีดวงของการให้บริการ
ตัวอย่างเช่นเกิดวัคซีนป้องกันโรค ก. ขึ้นมาซึ่งเป็นประโยชน์ คำตอบด้านนโยบายก็คือสมควรรับเอาวัคซีนนี้มาฉีดฟรีให้แก่ทุกคนหรือไม่ ถ้าไม่สามารถประเมินประสิทธิภาพและความคุ้มค่าได้ก็จะเสียเงินจำนวนมหาศาลไปโดยเปล่าประโยชน์ เช่นปรากฏว่าวัคซีนนี้ป้องกันได้น้อยกว่าที่โฆษณา อีกทั้งมีประสิทธิภาพเฉพาะกับบางช่วงอายุ เงินที่สูญไปอย่างไม่ควรนั้นสามารถเอาไปใช้อย่างอื่นได้
ทุกประเทศล้วนปวดหัวกับ “ของใหม่” และ “ของเก่า” ทั้งสิ้น บางเรื่องทางการแพทย์ก็ไม่เป็นจริงดังที่เคยเชื่อกัน เพราะงานวิจัยที่วัดประสิทธิภาพนั้นอาจผิดพลาดแต่แรก บางเรื่องก็รู้ไม่จริงอย่างเพียงพอ ทั้งตัวแพทย์เองและบริษัทผู้ผลิต บางเรื่องก็เชื่อกันว่าเป็นความจริงอย่างไม่ต้องสงสัย จนไม่ถามคำถามที่ควรถาม ผลที่ตามมา ก็คือการตายผ่อนส่ง ในงานสัมมนาครั้งนี้มีการพูดถึงหนังสือดังก้องโลกเล่มหนึ่งที่มีชื่อว่า “Testing Treatments” เขียนโดยคณะแพทย์และ นักวิจัยที่มีชื่อเสียงระดับโลก เพื่อให้สาธารณชน ตระหนักถึงข้อจำกัดของการรักษาพยาบาล ความรู้ของวงการแพทย์ การต้องค้นหาความจริงต่อไปในเรื่องสาธารณสุข ความผิดพลาดของงานวิจัยทางการแพทย์ ฯลฯ หนังสือเล่มนี้ปัจจุบันแปลเป็นภาษาที่สำคัญของโลกและอื่นๆ กว่า 16 ภาษา รวมทั้งภาษาไทยซึ่งจะเปิดตัวในเร็วๆ นี้ด้วย ตัวอย่างหนึ่งที่อาจทำให้บางคนที่คิดว่าตนเองป่วยเป็นโรคเบาหวานเข้าใจสถานะตนเองดีขึ้น เมื่อสมัยก่อนนั้นใครที่มีระดับน้ำตาลในเลือดหลังอดอาหาร (Fasting Blood Sugar-FBS) เกิน 140 ถือว่าเป็นเบาหวาน แต่ต่อมาในปี 1997 คณะกรรมการผู้เชี่ยวชาญการวินิจฉัยและจัดกลุ่มเบาหวานในระดับโลกให้คำจำกัดความโรคนี้ใหม่ว่า ถ้าใครมีระดับ FBS เกิน 126 ถือว่าเป็นเบาหวาน ดังนั้นผู้ที่มีระดับ FBS ระหว่าง 126 – 140 ซึ่งก่อนหน้านี้ถือว่าปกติกลายเป็นเบาหวานข้ามคืนไปทันที การเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อยเช่นนี้ทำให้มีจำนวนผู้ป่วยโรคเบาหวานเพิ่มขึ้นอย่างมาก และยาโรคเบาหวานขายดีขึ้นอีกมากมาย อย่างนี้เรียกว่าเป็นผลพวงที่เกิดจากการพยายามทำให้ผู้คนสุขภาพดีขึ้นด้วยการทำให้ผู้คนป่วยไข้ งานวิจัยในเรื่องนี้พบว่าคนที่มีระดับ FBS 126 – 140 มีความเสี่ยงไม่มากที่จะมีอาการแทรกซ้อนจากภาวะน้ำตาลในเลือด ดังนั้นคนกลุ่มนี้จึงไม่น่า จะเรียกว่าเป็นเบาหวาน
หนังสือเล่มนี้ให้ความจริงว่าไม่มีอะไรเป็นคำตอบตายตัวในเกือบทุกเรื่องที่เกี่ยวกับการรักษาสุขภาพและการรักษาพยาบาลดังเช่นเรื่องเบาหวานข้างต้น ถ้าในอนาคตหากมีงานวิจัยที่น่าเชื่อถือออกมาว่า FBS 150 ขึ้นไปจึงจะก่อให้เกิดความเสี่ยงอย่างมากก็อาจปรับเกณฑ์กันใหม่ก็เป็นได้
ผู้เขียนได้อ่านหนังสือเล่มนี้และได้เขียนคำนิยมจึงขอนำเนื้อหาบางส่วนมาสื่อสารต่อเพื่อให้อ่านกันมากๆ ดังนี้ “….ทุกคนมีชีวิตเดียว มีโอกาสที่จะมีอายุ 30 ปี 40 ปี หรืออายุใดๆ เพียงครั้งเดียว ดังนั้นชีวิตจึงเป็นสิ่งที่มีคุณค่าอย่างยิ่งสำหรับมนุษย์แต่ละคน อย่างไรก็ดี สิ่งมีค่ายิ่งนี้ มีความเสื่อมไปทีละน้อย และเพิ่มเติมด้วย ความเจ็บป่วยต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นได้อีกมากมาย เมื่อความจริงเป็นเช่นนี้ การมีความรู้ ในการทะนุถนอมให้สามารถดำเนินชีวิตไปได้ อย่างยาวนานและมีความสุขอย่างเจ็บป่วยน้อยที่สุด จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่ง”
“การรักษาต้องสงสัย” เป็นหนังสือที่ให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อการมีชีวิตที่มีคุณภาพ อีกทั้งยั่วยุให้นึกถึงคำถามหลายข้อที่คนทุกคนซึ่งสามารถเป็นคนไข้ ได้ทุกขณะไม่เคยคิดมาก่อน คำถามเหล่านี้เกี่ยวพันกับสิ่งที่เคยเชื่อว่า จริงอย่างไม่มีข้อกังขาใดๆ มาก่อน เช่น คำแนะนำและความเห็นของแพทย์ผู้รักษา ประสิทธิผลของยาและอาหารเสริม วิธีการรักษา วิธีการดูแลตนเอง ฯลฯ บางคำถามก็มี คำตอบให้ และสำหรับคำถามที่ยังไม่มีคำตอบ ก็ให้ขั้นตอนของการศึกษาสอบสวนจากแพทย์ และแหล่งต่างๆ เพื่อค้นหาคำตอบด้วยตนเอง …หนังสือเล่มนี้มีประโยชน์เพราะปลุกให้ผู้คนตื่นขึ้นจากการ “ไม่รู้ว่าตนเองไม่รู้”ซึ่งหมายถึงการเคยเชื่ออย่างสนิทใจเกี่ยวกับ ความรู้ทางการแพทย์ อิทธิฤทธิ์ของยา ความรู้ของแพทย์ วิธีการรักษา ฯลฯ จนไม่คิดตั้งคำถามเพื่อแสวงหาความจริงแท้ “การรักษาต้องสงสัย” ทำให้เกิดการตระหนักว่ายังมีสิ่งที่วงวิชาการไม่รู้จริงอยู่อีก เป็นอันมาก ซึ่งก่อให้ความระมัดระวังแก่ผู้อ่านในการดูแลสิ่งมีค่าที่สุดของตนเอง โดยหนังสือมีบทเสริมโดย นพ.ยศ ตีระวัฒนานนท์ (ผู้อำนวยการ HITAP) ในเรื่อง “นโยบายต้องสงสัย” HITAP ได้เลือก หนังสือแปลและพิมพ์เผยแพร่ได้อย่างเหมาะสม ใครที่เป็นคนไข้ที่รับบริการแพทย์อยู่ ใครที่คิดว่าวันหนึ่งจะต้องป่วย ใครที่พยายามดูแลสุขภาพของตนเองอยู่เพื่อหลีกหนีความเจ็บป่วย ใครเป็นแพทย์ผู้รักษาตามแนวคิดดั้งเดิม ฯลฯ ต้องอ่านหนังสือเล่มนี้ ซึ่งเปรียบเสมือนการผจญภัย
Helen Keller (ค.ศ.1880-1965) นักเขียนและนักต่อสู้เพื่อสังคมชาวอเมริกันคนสำคัญกล่าวไว้ว่า “Life is either a daring adventure or nothing.” (ชีวิตคือการผจญภัยอย่างกล้าท้าทายหรือไม่ใช่อะไรเลย)…
“ความไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐ”นั้นจริงแท้แน่นอน แต่ถ้าเอา “การ ไม่เชื่อทุกอย่างในทางการแพทย์อย่างสนิทใจ” ประกอบไปด้วย ก็จะทำให้ชีวิตมี คุณภาพขึ้นอีกมาก
15 พฤษภาคม 2561