MIDAS Medical Innovation Hackathon 2025: จุดเปลี่ยนจาก “งานวิจัยขึ้นหิ้ง” สู่ “นวัตกรรมเพื่อระบบสาธารณสุขไทยที่ยั่งยืน”

ไทยผลิตวัคซีนหวัด 2009 สำเร็จ
http://www.thaipost.net/news/281010/29277
นพ.วิชัย โชควิวัฒน์ ประธานคณะกรรมการองค์การเภสัชกรรม (อภ.) กล่าวถึงความคืบหน้าการผลิตวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ H1 N1 (ไข้หวัดใหญ่ 2009 ) ชนิดเชื้อเป็นว่า ขณะนี้ได้ผลการผลิตทุกขั้นตอนเรียบร้อย อยู่ระหว่างการรอการตรวจสอบจากคณะกรรมการจริยธรรมของกระทรวงสาธารณสุข และคณะวิทยาศาสตร์เขตร้อน เพื่อขออนุญาตเปิดฉลากผลการทดลอง เนื่องจากตามขั้นตอนการผลิตวัคซีนนั้น จะไม่อนุญาตเปิดฉลากว่าในจำนวนอาสาสมัครที่ทดสอบนั้นใครได้รับวัคซีนหรือใครได้รับยาหลอกเพื่อไม่ให้มีอคติ ดังนั้นเมื่อผลการทดลองเสร็จสิ้นต้องขออนุญาตเปิดฉลากว่าเมื่อเจาะเลือดออกมาแล้วภูมิคุ้มกันที่เพิ่มขึ้นเป็นการเพิ่มเพราะได้รับวัคซีนหรือได้รับยาหลอก ก่อนจะนำข้อมูลไปขอขึ้นทะเบียนกับสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) คาดว่าจะสามารถขอขึ้นทะเบียนในเดือน พ.ย.นี้
นพ.วิชัยกล่าวว่า การผลิตวัคซีนชนิดเชื้อเป็นถือเป็นครั้งแรกของประเทศไทย ซึ่งใช้ระยะเวลาในการดำเนินการตั้งแต่วันที่ 16 ก.ค.2552 รวมเวลากว่า 1 ปีเศษ ถือว่าวัคซีนที่ได้นี้ไม่ทันใช้ในการระบาดของไข้หวัด 2009 ระลอกที่ 3 นี้ เนื่องจากประเทศไทยไม่เคยมีประสบการณ์ในการผลิตมาก่อน ไม่เหมือนกับประเทศที่มีโรงงานเทคโนโลยีทันสมัย และมีประสบการณ์ต่อเนื่อง เช่น จีน ที่สามารถผลิตวัคซีนได้ภายใน 5 เดือนเมื่อเริ่มมีการระบาด รัสเซียที่ใช้เวลาประมาณ 7-8 เดือน และอินเดีย 10 เดือน แต่สิ่งที่เป็นประโยชน์สำหรับประเทศไทยคือ เราสามารถก้าวพ้นจากคำว่า “ทำไม่เป็น” จน “สามารถทำได้แล้ว” มีความมั่นใจในการผลิตวัคซีนมากขึ้น ซึ่งแผนต่อไปคาดว่า อภ.จะผลิตวัคซีนชนิดเชื้อเป็นเพื่อป้องกันไข้หวัดตามฤดูกาลทุกปีต่อไป ซึ่งจะลดรายจ่ายนำเข้าและเป็นการเพิ่มความมั่นคงด้านสาธารณสุขของประเทศ
“ในการผลิตวัคซีนนั้นตัวชี้วัดว่าสามารถกระตุ้นภูมิคุ้มกันได้หรือไม่ จะทดลองในคนไม่ได้ ต้องทดลองในสัตว์ทดลองคล้ายพังพอน เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่เมื่อเป็นไข้หวัดจะมีอาการคล้ายมนุษย์มาก ซึ่งเราได้ส่งวัคซีนที่ผลิตได้ไปทดสอบที่ห้องแล็บประเทศเนเธอร์แลนด์พร้อมกับวัคซีนเชื้อเป็นที่รัสเซียและอินเดียผลิตได้ ปรากฏว่าวัคซีนของไทยกระตุ้นภูมิคุ้มกันได้ดีที่สุด เมื่อพ่นเชื้อไข้หวัดใหญ่ใส่สัตว์ทดลองที่ได้รับวัคซีนของเราก็ไม่มีสัตว์ตัวใดเป็นโรค” ประธานบอร์ด อภ.กล่าว
นพ.วิชัยกล่าวว่า สำหรับการแพร่ระบาดของไข้หวัด 2009 ถือว่าทั่วโลกยังโชคดีที่เชื้อไม่รุนแรง และคนกลัววัคซีนมากกว่ากลัวโรค แต่หากกรณีเกิดการระบาดอย่างรุนแรงมากกว่านี้จนวัคซีนขาดแคลน การหาซื้อวัคซีนจากต่างประเทศจะยากลำบาก
“เราใช้งบทั้งหมดได้รับการสนับสนุนจากองค์การอนามัยโลก (WHO) กว่า 100 ล้านบาท และผลจากที่ทีมผู้เชี่ยวชาญอิสระจากประเทศสวิตเซอร์แลนด์ อังกฤษ และสหรัฐอเมริกา เมื่อเดือน มิ.ย.ที่ผ่านมา ได้ประเมินการทำงานแล้วรายงานว่าเราใช้เงินของ WHO อย่างคุ้มค่า แม้ว่าจะผลิตวัคซีนไม่ทัน แต่ก็มีการพัฒนาได้รวดเร็วเป็นที่น่าพอใจมาก”
นอกจากนี้ นพ.วิชัยยังได้กล่าวถึงการทดลองผลิตวัคซีนป้องกันไข้หวัดนกด้วยการใช้เชื้อ H5N2 ที่มีความใกล้เคียงกับเชื้อ H5N1 แต่รุนแรงน้อยกว่าว่า กำลังดำเนินการทดลอง อยู่ในขั้นตอนส่งทดสอบในสัตว์ทดลองที่ประเทศเนเธอร์แลนด์ เพื่อเตรียมความพร้อมหากเกิดการระบาดของไข้หวัดนก H5N1 จะมีความรุนแรงมากเพราะเชื้อสามารถข้ามเข้าสู่คนได้ แม้จะยังไม่สามารถเข้าสู่คนได้โดยตรงก็ตาม แต่หากเกิดการระบาดอีกครั้งเชื้ออาจปรับตัวเพิ่มความรุนแรงขึ้น ซึ่งเราเชื่อมั่นจากการซ้อมมือผลิตวัคซีนเชื้อเป็นป้องกันหวัด 2009 จะสามารถผลิตวัคซีนออกมาป้องกันได้ทันการระบาดภายใน 5 เดือน.