MIDAS Medical Innovation Hackathon 2025: จุดเปลี่ยนจาก “งานวิจัยขึ้นหิ้ง” สู่ “นวัตกรรมเพื่อระบบสาธารณสุขไทยที่ยั่งยืน”

เทศกาลไหว้พระจันทร์ปีนี้ กรมอนามัย ห่วงสุขภาพคนไทย แนะกินให้พอดี ไม่มีพุง
http://www.moph.go.th/ops/iprg/iprg_new/include/admin_hotnew/show_hotnew.php?idHot_new=33867
ดร.นพ.สมยศ ดีรัศมี อธิบดีกรมอนามัย เปิดเผยถึงการเลี่ยงขนมที่มีรสหวานซึ่งมีส่วนประกอบของแป้งและน้ำตาลเป็นหลักในเทศกาลไหว้พระจันทร์ ว่า เทศกาลไหว้พระจันทร์ เป็นเทศกาลของชาวจีนโดยปกติจะมีวันเพ็ญ เดือน 8 (เดือนกันยายน หรือตุลาคม) เพื่อระลึกถึงเทพธิดาแห่งพระจันทร์ ซึ่งเชื่อกันว่าถือกำเนิดขึ้นในวันนี้ สำหรับเทศกาลไหว้พระจันทร์นี้ สิ่งที่ขาดไม่ได้ คือ “ขนมไหว้พระจันทร์” ที่ใช้เป็นเครื่องเซ่นไหว้เทพเจ้าดวงจันทร์ โดยคนจีนจะเรียกขนมไหว้พระจันทร์ว่า “ขนมเอี้ยปิ่ง” ซึ่งมีความหมาย คือ ความพรั่งพร้อม สมบูรณ์ และความสมหวัง และมักนิยมผสมไส้ต่างๆ ในขนมไหว้พระจันทร์ เช่น ถั่วแดง ลูกนัทจีน 5 ชนิด เมล็ดบัว เมล็ดแตงโม ทุเรียนกวน ลูกเกาลัค ลูกพลับ และไข่แดงเค็ม เป็นส่วนประกอบ
ดร.นพ.สมยศ กล่าวต่อไปว่า ขนมไหว้พระจันทร์ ขนาดปกติ 1 ชิ้น มีขนาด 166 กรัม จะให้พลังงาน 614-722 กิโลแคลอรี่ เมื่อตัดออกเป็นส่วนๆ จะได้จำนวน 6 ชิ้นเล็ก ซึ่งขนมไหว้พระจันทร์ 1 ชิ้นเล็ก ให้พลังงาน 96-120 กิโลแคลลอรี่ ซึ่งขนมไหว้พระจันทร์จะมีไส้ต่างๆ ก็จะให้พลังงานแตกต่างกันไป โดยขนมไหว้พระจันทร์ขนาด 1 ชิ้นเล็กให้พลังงานดังนี้ ไส้หมอนทอง ให้พลังงาน 106.7 กิโลแคลอรี่ ไส้โหงวยิ้ง ให้พลังงาน 120.3 กิโลแคลอรี่ ไส้พุทรา ให้พลังงาน 96.2 กิโลแคลอรี่ ไส้เมล็ดบัว 107.6 กิโลแคลอรี่ ไส้เมล็ดบัวและไข่ ให้พลังงาน 112.8 กิโลแคลอรี่ และไส้ทุเรียน ให้พลังงาน 102.3 กิโลแคลอรี่ ซึ่งหากมีการกินโดยขาดการควบคุมปริมาณการกินบ่อย ๆ จะทำให้ร่างกายได้รับพลังงานมากเกิน แล้วเปลี่ยนเป็นไขมันสะสมตามร่างกายเกินมาตรฐาน ทำให้เกิดโรคอ้วนลงพุงตามมาในระยะยาวได้
“ทั้งนี้ การกินขนมที่มีรสหวานจะทำให้ความต้องการกินอาหารอื่นลดลง มีผลทำให้กินอาหารได้ไม่หลากหลายครบ 5 หมู่ ร่างกายได้รับสารอาหารไม่ครบถ้วนเหมาะสม ได้รับน้ำตาลมากเกินไป ซึ่งร่างกายจะเปลี่ยนน้ำตาลเป็นไขมันสะสมในร่างกาย ทำให้เป็นโรคอ้วนได้ง่าย เนื่องจากความหวานที่ได้จากน้ำตาลและอาหารกลุ่มที่ให้คาร์โบไฮเดรตชนิดที่มีโมเลกุลไม่ซับซ้อน จัดเป็นอาหารให้พลังงานชนิดว่างเปล่า คือ ให้พลังงานแต่ไม่ให้สารอาหารอื่น ถึงแม้ว่าน้ำตาลจะให้พลังงานแก่ร่างกาย แต่ก็ไม่แนะนำให้กินน้ำตาลเพื่อเป็นแหล่งของพลังงานโดยตรง ควรกินอาหารกลุ่มข้าวและควรเป็นข้าวกล้อง ข้าวซ้อมมือหรืออาหารธรรมชาติที่ไม่แปรรูปมาก เช่น ข้าวโพด หัวเผือก หัวมัน ลูกเดือย ถั่วเมล็ดแห้งต่าง ๆ รวมทั้งเนื้อสัตว์ต่าง ๆ ที่เป็นแหล่งของพลังงานแทน ควบคู่กับการกินผัก ผลไม้ เพื่อให้ร่างกายได้สารอาหารครบถ้วนเหมาะสม” อธิบดีกรมอนามัย กล่าวในที่สุด