ต้องการข้อมูลเพิ่มเติม ติดต่อฝ่ายสื่อสารองค์กร HITAP
เมื่อวันที่ 18 กันยายน 2567 ณ โรงแรมอัศวิน แกรนด์ คอนเวนชัน กรุงเทพฯ โครงการประเมินเทคโนโลยีและนโยบายด้านสุขภาพ (HITAP) จัดการประชุมเพื่อพิจารณาผลการศึกษาและข้อเสนอแนะเชิงนโยบายของโครงการ “การศึกษาผลของนโยบายการแพทย์ทางไกลภายใต้ระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติของประเทศไทยในปี พ.ศ. 2565-2567” ซึ่งเป็นโครงการที่ได้รับการสนับสนุนจากสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) การประชุมดังกล่าวจัดขึ้นเพื่อเป็นเวทีแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและมุมมองที่หลากหลายต่อผลการศึกษาและข้อเสนอแนะเชิงนโยบายที่ได้จากงานวิจัย โดยมีผู้เข้าร่วมประชุมเป็นกลุ่มผู้กำหนดนโยบายและกลุ่มผู้เชี่ยวชาญและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียจากหลายภาคส่วนที่เกี่ยวข้องกับระบบ telemedicine ในประเทศไทยมาร่วมให้ความคิดเห็น เพื่อเป็นแนวทางในการพัฒนาและปรับปรุงระบบ telemedicine และระบบสุขภาพดิจิทัล รวมถึงเป็นส่วนหนึ่งของข้อมูลประกอบการตัดสินใจเชิงนโยบายของประเทศไทย
นพ.โสภณ เมฆธน ประธานคณะอนุกรรมการกำกับทิศแผนงานโครงการ Convergence of Digital Health Platforms and Health Information Systems (HIS) Implementation in Thailand (ConvergeDH) เป็นประธาน ร่วมด้วยผู้เชี่ยวชาญและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียจากหลายภาคส่วน อาทิ กองบริหารการสาธารณสุข กองยุทธศาสตร์และแผนงาน สำนักสุขภาพดิจิทัล ศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร จากสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มูลนิธิสาธารณสุขแห่งชาติ สถาบันวิจัยและประเมินเทคโนโลยีทางการแพทย์ สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ สำนักงานประกันสังคม องค์การอนามัยโลก (WHO) สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ สำนักงานคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ และสภาวิชาชีพต่าง ๆ ได้แก่ สภาการพยาบาล สภาเทคนิคการแพทย์ และสภาเภสัชกรรม รวมถึงสมาคมจิตวิทยาแห่งประเทศไทย สมาคมพยาบาลจิตเวชแห่งประเทศไทย และสมาคมเพื่อผู้บกพร่องทางจิตแห่งประเทศไทย
ในการนี้ ทีมวิจัยจาก โครงการประเมินเทคโนโลยีและนโยบายด้านสุขภาพ (HITAP) นำโดย คุณวิลาวรรณ ล้วนคงสมจิตร, คุณธนายุต เศรณีโสภณ, คุณเฌอริลิณญ์ ประทุมสุวรรณ์, คุณปัญญ์ชนก หมื่นแก้ว และ ภญ.นิธิเจน กิตติรัชกุล นำเสนอผลการศึกษาซึ่งครอบคลุมประเด็น ได้แก่ เสียงสะท้อนจากผู้ให้และผู้รับบริการ ความพร้อมของสถานพยาบาลในการให้บริการ การเบิกจ่ายชดเชยค่าบริการและรูปแบบการเบิกจ่ายของประเทศไทยและต่างประเทศ การติดตามและประเมินการให้บริการ telemedicine ในประเทศไทยและต่างประเทศ การประมาณการต้นทุนในการให้บริการ telemedicine รวมถึงข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย
จากการศึกษาประสบการณ์ของผู้ให้และผู้รับบริการ พบว่า ทั้งกลุ่มที่เคยและไม่เคยใช้บริการ telemedicine ต่างยอมรับและตระหนักถึงข้อดีของบริการที่สามารถช่วยเพิ่มความสะดวกแก่ผู้รับบริการ เพิ่มการเข้าถึงบริการทางสาธารณสุขโดยเฉพาะกลุ่มคนที่ปัญหาทางการเคลื่อนไหวหรืออยู่ห่างไกลจากสถานพยาบาล ลดความเสี่ยงในการติดเชื้อจากสถานพยาบาล รวมถึงลดความเครียดระหว่างรอรับบริการที่สถานพยาบาล อีกทั้งผู้ที่เคยให้หรือรับบริการ telemedicine ส่วนใหญ่พึงพอใจต่อบริการและสนใจที่จะให้หรือรับบริการต่อ อย่างไรก็ตามยังมีบางส่วนที่กังวลว่าประสิทธิภาพของบริการอาจไม่ดีเทียบเท่ากับการรับบริการที่สถานพยาบาล รวมถึงผู้ให้ข้อมูลทุกกลุ่มได้สะท้อนถึงปัญหาอุปสรรคในการเข้าถึงและการใช้ประโยชน์จากบริการ telemedicine ในด้านอุปกรณ์และสัญญาณอินเทอร์เน็ต ความไม่เหมาะสมของช่องทางที่ให้บริการ และการขาดทักษะในการใช้เทคโนโลยีของผู้รับบริการ
ในแง่ของการให้บริการ telemedicine ในสถานพยาบาล จากผลการวิเคราะห์ข้อมูลการเบิกจ่ายชดเชยค่าบริการของ สปสช. ตั้งแต่เดือนมกราคม พ.ศ. 2564 ถึงเดือนมีนาคม พ.ศ. 2567 พบว่า มีผู้ใช้บริการทั้งหมด 426,366 ราย และจำนวนการใช้บริการอยู่ที่ 811,556 ครั้ง รวมถึงพบว่าการมีนโยบาย telemedicine ของกระทรวงสาธารณสุขในปี พ.ศ. 2566 ส่งผลให้จำนวนครั้งของการให้บริการ telemedicine มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น แต่ไม่มีนัยสำคัญทางสถิติ นอกจากนี้ ทีมวิจัยพบว่ามีเพียงร้อยละ 21 ของสถานพยาบาลภาครัฐทั้งหมดที่สมัครและผ่านการประเมินศักยภาพของ สปสช. ในโครงการ Telehealth/Telemedicine (สำหรับโรคเรื้อรัง) และมีเพียงร้อยละ 9 ของสถานพยาบาลภาครัฐทั้งหมดที่ขอเบิกจ่ายและได้รับการชดเชยค่าบริการ telemedicine
ในส่วนของการประมาณการต้นทุนการให้บริการ telemedicine พบว่า ต้นทุนส่วนใหญ่เกิดจากค่าแรง โดยราคาที่จุดคุ้มทุนของแต่ละสถานพยาบาลแตกต่างกันไปตามทรัพยากรที่ใช้และขีดความสามารถในการให้บริการ การรับบริการ telemedicine ผ่านโรงพยาบาลปลายทางมีต้นทุนสูงกว่าการที่ผู้ป่วยรับบริการด้วยตนเอง ทั้งนี้ หากพิจารณาต้นทุนรวมโดยไม่หักต้นทุนค่าแรง พบว่า ราคาที่จุดคุ้มทุนของสถานพยาบาลกลุ่มตัวอย่างทุกแห่งสูงกว่าอัตราเบิกจ่ายชดเชยค่าบริการ telemedicine ในปัจจุบัน
ทีมวิจัยและผู้เข้าร่วมประชุม แลกเปลี่ยนความคิดเห็นเพื่อพัฒนาข้อเสนอแนะเชิงนโยบายในการปรับปรุง telemedicine ให้มีประสิทธิภาพ ตอบโจทย์ทั้งผู้รับและผู้ให้บริการ กล่าวคือ ผู้กำหนดนโยบายควรเร่งกำหนดกลุ่มเป้าหมายสำหรับบริการ telemedicine รวมถึงแนวทางการให้บริการที่ชัดเจน โดยไม่จำกัดช่องทางการให้บริการ เช่น การโทรศัพท์หรือวิดีโอคอล และควรสื่อสารสิ่งเหล่านี้ไปยังทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องเพื่อให้เกิดการปรับเปลี่ยนรูปแบบการชดเชยค่าบริการที่เหมาะสมและสร้างแรงจูงใจในการพัฒนาบริการให้กับสถานพยาบาล นอกจากนี้ ผู้กำหนดนโยบายควรจัดสรรทรัพยากรโดยเฉพาะโครงสร้างพื้นฐาน เช่น คอมพิวเตอร์ อินเทอร์เน็ต และระบบจัดการข้อมูล เพื่อรองรับการให้บริการ telemedicine และการติดตามผลการให้บริการอย่างต่อเนื่อง
การประชุมผู้เชี่ยวชาญและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในครั้งนี้นำมาซึ่งการสนับสนุนการบูรณาการและการใช้ telemedicine ในประเทศไทย อีกทั้งยังทำให้เห็นมุมมองต่อการพัฒนาและแก้ไขปัญหาของบริการ telemedicine ที่ชัดเจนยิ่งขึ้น เพื่อให้ระบบ telemedicine ในประเทศไทยเกิดการปรับปรุงและพัฒนาไปได้อย่างตรงจุด เนื่องจากบริการดังกล่าวมีแนวโน้มที่จะยังคงเป็นส่วนหนึ่งของระบบสาธารณสุขในอนาคตต่อไป
—–
ผลงานตีพิมพ์ในวารสารวิชาการต่างประเทศ
11 ตุลาคม 2567