logo

HITAP ร่วมมือกับกรมการแพทย์ จัดการประชุมผู้เชี่ยวชาญและผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ในโครงการ “การพัฒนาแนวทางการประเมินความคุ้มค่าฯ ปัญญาประดิษฐ์ทางการแพทย์ เพื่อบรรจุในชุดสิทธิประโยชน์ ในระบบประกันสุขภาพของประเทศไทย”

สปสช. และ HITAP ขอเชิญท่านมาร่วมเป็นส่วนสำคัญในการยกระดับบริการสุขภาพของประเทศไทย ด้วยการตอบแบบสอบถามในหัวข้อ “การปฏิบัติงานตามนโยบาย 30 บาทรักษาทุกที่ ด้วยบัตรประชาชนใบเดียว”

ต้องการข้อมูลเพิ่มเติม ติดต่อฝ่ายสื่อสารองค์กร HITAP

          โรงพยาบาลเมตตาประชารักษ์ (วัดไร่ขิง) กรมการแพทย์ ลงนามความร่วมมือกับสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ผลิตลูกตาเทียมโพลีเอธิลีนแบบมีรูพรุน ทดแทนลูกตาจริง ช่วยผู้ป่วยสูญเสียดวงตา

            วันนี้ (22 กันยายน 2553) ที่โรงแรมรามาการ์เด้นท์ กรุงเทพมหานคร นายแพทย์วิวัฒน์ วิริยกิจจา รองอธิบดีกรมการแพทย์ พร้อมด้วยรศ.ดร.วีระศักดิ์ อุดมกิจเดชา ผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ร่วมเป็นพยานในการลงนามบันทึกข้อตกลงร่วมวิจัย โครงการผลิตลูกตาเทียมโพลีเอธิลีนแบบมีรูพรุนในประเทศไทย (ระยะที่ 2 ) : การศึกษาทางคลินิก ระหว่างโรงพยาบาลเมตตาประชารักษ์ (วัดไร่ขิง) กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข และศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (MTEC) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยหลังจากที่สวทช.ได้ดำเนินงานโครงการผลิตลูกตาเทียมโพลีเอธิลีนแบบมีรูพรุนในประเทศไทย (ระยะที่ 1 ) : การพัฒนาวัสดุ และเพื่อเป็นการเพิ่มศักยภาพของผลงานวิจัยโครงการดังกล่าวให้สามารถนำไปใช้งานได้จริงต่อไป จึงได้ประสานกับโรงพยาบาลเมตตาประชารักษ์ (วัดไร่ขิง) เพื่อให้การสนับสนุนโครงการทดสอบทางคลินิกระดับภาคสนาม  ณ โรงพยาบาลเมตตาประชารักษ์ (วัดไร่ขิง) หรือสถานที่ปฏิบัติงานอื่นตามที่ตกลงกัน

                ปัจจุบันผู้ป่วยที่สูญเสียดวงตามีจำนวนเพิ่มมากขึ้น  จากสถิติของโรงพยาบาลเมตตาประชารักษ์ (วัดไร่ขิง) ผู้ป่วยที่เข้ารับการผ่าตัดนำลูกตาออกมีจำนวนประมาณ 40 – 50 รายต่อปี ทั้งชนิดที่เก็บตาขาวไว้  และชนิดที่เอาออกทั้งลูกตา ทั้งนี้มีสาเหตุจากอุบัติเหตุต่อดวงตา โรคของตา เช่น ต้อหิน โรคของจอประสาทตา ภาวะเนื้องอกในลูกตา การติดเชื้อในลูกตา ผู้ป่วยจะได้รับผลกระทบทั้งทางกายและจิตใจจากการสูญเสียดวงตา จึงมีการพัฒนาลูกตาเทียมเพื่อใส่ทดแทนลูกตาจริงในเบ้าตา เพื่อหนุนเบ้าตาก่อนจะใส่ตาปลอมภายนอกอีกที ช่วยให้ผู้ป่วยไม่แตกต่างจากคนอื่น สามารถเข้าสังคมได้อย่างมั่นใจ และยังช่วยป้องกันการหดตัวของเนื้อเยื่อรอบเบ้าตา โดยลูกตาเทียมที่ใช้ในปัจจุบันแบ่งเป็น 2 กลุ่มใหญ่ ๆ คือ ชนิดผิวเรียบ เช่น ลูกแก้ว ซิลิโคน หรืออะคริลิก และชนิดมีรูพรุน ได้แก่ ลูกตาเทียมผลิตจากไฮดรอกซีแอปาไทต์จากปะการัง หรือผลิตจากกระดูกสัตว์ และลูกตาเทียมผลิตจากพลาสติกประเภทโพลีเอธิลีน   อย่างไรก็ตามลูกตาเทียมชนิด   มีรูพรุนทั้ง 2 ประเภทดังกล่าวมีราคาแพง  ต้องนำเข้าจากต่างประเทศ โดยลูกตาเทียมไฮดรอกซีแอปาไทต์มีราคาลูกละประมาณ 29,000 บาท   และลูกตาเทียมโพลีเอธิลีนราคาลูกละประมาณ 22,000 บาท จึงทำให้ผู้ป่วยจำนวนมากไม่สามารถรับบริการใส่ลูกตาเทียมชนิดมีรูพรุนได้ จักษุแพทย์จึงเลือกใช้ลูกแก้วพลาสติกที่ทำจากซิลิโคนหรืออะคริลิกแทน  เนื่องจากมีราคาถูก แต่เนื่องจากพื้นผิวที่เรียบทำให้พบปัญหาหลังการผ่าตัดสูงกว่า  เช่น การเคลื่อนหรือเลื่อนหลุดของลูกตาเทียม การกลอกตาที่ไม่สมจริง จากปัญหาดังกล่าวหลายประเทศได้มีความพยายามผลิตลูกตาเทียมเพื่อใช้เอง เช่น อินเดีย บราซิล                                                                

                นายแพทย์วิวัฒน์ วิริยกิจจา รองอธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวเพิ่มเติมว่า จากความสำคัญของปัญหาที่เกิดขึ้น โรงพยาบาลเมตตาประชารักษ์ (วัดไร่ขิง) ในฐานะเป็นโรงพยาบาลที่มีพันธกิจหลักในด้านการวิจัย พัฒนาองค์ความรู้  และประเมินเทคโนโลยีทางการแพทย์ ตลอดจนการเป็นหน่วยงานที่มีความเชี่ยวชาญทางด้านจักษุระดับชาติ จึงได้ร่วมมือกับศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (MTEC) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ร่วมกันพัฒนาลูกตาเทียมที่ผลิตจากพลาสติกประเภทโพลีเอธิลีน   โดยใช้เทคโนโลยีเครื่องพิมพ์สามมิติในการขึ้นรูป ทั้งนี้ผ่านการทดสอบในเรื่องความปลอดภัย และทดลองโดยจักษุแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านเสริมสร้างและตกแต่งเบ้าตาพบว่าอยู่ในเกณฑ์เป็นที่น่าพอใจ และได้ทำการศึกษาผลการรักษาเบื้องต้นในผู้ป่วยที่จำเป็นต้องใส่ลูกตาเทียม เพื่อนำผลที่ได้มาขยายผลต่อไปในอนาคต

                สำหรับผลการทดสอบทางคลินิกของต้นแบบลูกตาเทียมโพลีเอธิลีนชนิดมีรูพรุน ตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2552 ถึงเมษายน 2553 จักษุแพทย์ได้ทำการผ่าตัดใส่ลูกตาเทียมในผู้ป่วยจำนวน 15 ราย เป็นชาย 9 ราย หญิง  6 ราย โดยนำลูกตาออกเหลือเพียงตาขาวจำนวน 8 ราย นำลูกตาออกทั้งหมด 5 ราย และใส่ลูกตาเทียมหลังการผ่าตัดครั้งก่อน 2 ราย พบว่าผู้ป่วยทุกรายมีสุขภาพดีหลังการผ่าตัด ไม่มีลูกตาเทียมเคลื่อนหลุด ไม่พบการติดเชื้อจากการใส่ลูกตาเทียมที่พัฒนาขึ้น มีเพียงจำนวน 2 ราย พบว่ามีบางส่วนของลูกตาเทียมโผล่ แต่มีขนาดเล็กและหายเองหลังให้การรักษา นอกจากนี้ได้ทำการตรวจสอบการงอกของหลอดเลือดเข้าไปยังลูกตาเทียมของผู้ป่วยด้วยเครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์แม่เหล็ก ( Magnetic Resonance Imaging – MRI) หลังผ่าตัดเป็นเวลา 6 เดือน พบว่ามีหลอดเลือดและเนื้อเยื่องอกเข้าไปในลูกตาเทียมโดยรอบ การศึกษาที่ให้ผลเป็นที่น่าพอใจนี้สามารถนำไปขยายผลการศึกษาอื่น เช่น การผลิตลูกตาเทียม หรือเบ้าตาเทียมเฉพาะบุคคล

                ทั้งนี้จากความร่วมมือดังกล่าว จะนำไปสู่การศึกษาในระยะที่ 3 เป็นการทดลองเปรียบเทียบระหว่าง   การผ่าตัดใส่ลูกตาเทียมที่ผลิตจากสารโพลีเอธิลีนซึ่งนำเข้าจากต่างประเทศกับลูกตาเทียมจากสารโพลีเอธิลีน ที่ผลิตขึ้นเองในประเทศไทย ในผู้ป่วยจำนวน 120 ราย โดยได้รับความร่วมมือจากภาควิชาจักษุวิทยา คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ โรงพยาบาลศิริราช และมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ คาดว่าจะเริ่มดำเนินการประมาณเดือนมกราคม 2554         

23 กันยายน 2553

Next post > นักกฎหมาย พบ พ.ร.บ.คุ้มครองฯ มีจุดอ่อนหลายประการ

< Previous post การประชุมผู้เชี่ยวชาญโครงการพัฒนา และประเมินประสิทธิผลมาตราการสื่อสาร เพื่อป้องกันการฆ่าตัวตาย

Related Posts

ข่าวที่เข้าชมมากที่สุด ในรอบ 3 เดือน

HITAP เป็นข่าว ล่าสุด